ความสัมพันธ์กับต่างประเทศในสมัยรัตนโกสินทร์
โปรตุเกส
ฝรั่งชาติแรกที่เข้ามาติดต่อกับไทยในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
คือชาวโปรตุเกส ชื่อ อันโตนิโอ เดอ วิเสนท์ (Antonio de Veesent)
คนทั่วไป รียกว่า “องคนวีเสน” เป็นอัญเชิญพระราชสาสน์จากกรุงลิสบอนมายังประเทศไทย
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดเกล้าฯ
ให้การต้อนรับอย่างใหญ่โตและทรงให้องตนวีเสนเข้าเฝ้าด้วย
และทางไทยได้มีพระราชสาสน์ตอบมอบให้องตนวีเสนเป็นผู้อัญเชิญกลับไป
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 2 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
พ.ศ.2361 ได้ส่งเรือชื่อ มาลาพระนคร
ออกไปค้าขายกับโปรตุเกสที่เมืองมาเก๊า
ในการติดต่อครั้งนี้ไทยได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี
ขากลับข้าหลวงโปรตุเกสที่มาเก๊าได้ส่ง คาร์ลอส มานูแอล ซิลเวียรา (Carlos Manuel Silviera)
เป็นทูตอัญเชิญพระราชสาสน์เข้ามาขอเจริญสัมพันธไมตรีกับไทย
พร้อมทั้งส่งเครื่องราชบรรณาการมาให้มากมาย โดยให้การต้อนรับและอำนวย
ความสะดวกเป็นอย่างดี
ในขณะนั้นไทยมีความประสงค์จะซื้ออาวุธปืน
ซึ่งโปรตุเกสก็ยินยอมจัดหาซื้อปืนคาบศิลาให้ไทยถึง 400 กระบอก
พ.ศ.2363 กษัตริย์โปรตุเกสมีพระราชประสงค์จะขอตั้งสถานกงสุลขึ้นในประเทศไทยของขอให้คาร์ลอส
มานูแอล ซิลเวียรา เป็นกงสุลโปรตุเกสประจำประเทศไทย ซึ่งไทยก็ยอมแต่โดยดี
ซึ่งนับว่าเป็นการตั้งสถานกงสุลต่างประเทศเป็นครั้งแรกในสมัยรัตนโกสินทร์
และรัชกาลที่ 2 โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้คาร์ลอส เดอ มานูแอล
ซิลเวียรา รับราชการเป็นขุนนาง พระราชทานตำแหน่งให้เป็น หลวงอภัยพานิช
อังกฤษ
สมัยรัชกาลที่ 1 พระยาไทรบุรี คือ อับดุลละ
โทกุรัมซะ ตกลงเซ็นสัญญาให้อังกฤษเช่าเกาะหมาก (ปีนัง) และสมารังไพร
ซึ่งเป็นดินแดนที่อยู่ตรงข้ามเกาะหมากปีละ 1,000 เหรียญ
ซึ่งดินแดนเหล่านี้อยู่ในความดูแลของไทย
เหตุที่พระยาไทรบุรีให้อังกฤษเช่าดินแดนทั้ง 2 นี้
ก็เพื่อหวังพึ่งอังกฤษให้พ้นจากอิทธิพลของไทย แต่อังกฤษก็พยายามผูกไมตรีกับไทย
โดยให้ ฟรานซิส ไลท์ หรือกับปตันไลท์ (Francis Light) นำดาบประดับพลอยกับปิ่นด้ามเงินมาทูลเกล้าฯ
ถวายรัชกาลที่ 1 พระองค์จึงทรงพระราชทานบรรดาศักดิ์ว่า “พระยาราชกปิตัน” ซึ่งเป็นชาวยุโรปคนแรกในสมัยรัตนโกสินทร์ที่เข้ารับราชการเป็นขุนนาง
และได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์
สมัยรัชกาลที่ 2 พ.ศ.2365 มาร์ควิส
เฮสติงส์ (Marquis Hestings) ผู้สำเร็จราชการอังกฤษที่อินเดีย
ได้ส่งนายจอห์น ครอว์เฟิร์ด (John Craeford) หรือที่คนไทยเรียกว่า
“การะฟัด” นำเครื่องราชบรรณาการเข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีกับไทย
พร้อมมาขอเจรจาเพื่อทำสนธิสัญญากับไทยโดยมุ่งหวังจะขยายตลาดการค้าเข้ามาในไทย
ให้ไทยยอมรับการเช่าเกาะหมากและสมารังไพรของอังกฤษ
ขอให้ไทยยกเลิกและลดหย่อนการเก็บภาษีบางอย่าง
และต้องการมาศึกษาเรื่องราวความเป็นมาของบ้านเมืองไทยให้ละเอียด
เพื่อจะได้ทำแผนที่และทำรายงานเกี่ยวกับพันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ต่างๆ ประชากร
สภาพความเป็นอยู่และความเป็นไปของไทยต่อรัฐบาลอังกฤษ แต่ปรากฏว่าการเจรจาไม่ประสบผลสำเร็จ
เพราะ
ทั้ง 2 ฝ่ายไม่เข้าใจภาษากันดีพอ
ต้องใช้ล่ามแปลกันหลายต่อ ทำให้ความหมายคลาดเคลื่อนไป
ล่ามของทั้งสองฝ่ายเป็นพวกคนชั้นต่ำพวกกะลาสีเรือ
ทำให้ขุนนางไทยและครอว์เฟิร์ดไม่เข้าใจกันประเพณีบางอย่างของไทยทำให้ฝรั่งดูถูกเหยียดหยาม
เช่น ขุนนางออกรับแขกเมืองไม่ยอมสวมเสื้อ
ครอว์เฟิร์ดไม่พอใจที่ไทยไม่ยอมอ่อนน้อมต่ออังกฤษเหมือนพวกชวาและมลายูที่เคยเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ
ส่วนไทยไม่พอใจที่อังกฤษแสดงท่าทางเย่อหยิ่งข่มขู่ดูหมิ่นไทย
ไม่เหมือนกับจีนที่ปฏิบัติตนอ่อนน้อมยินยอมทำตามระเบียบต่างๆ อย่างดี
ไทยไม่ยอมตกลงปัญหาดินแดนไทรบุรีที่อังกฤษขอร้อง
คอรว์
เฟิร์ดทำการสำรวจระดับน้ำตามปากอ่าวไทยเพื่อทำแผนที่ ทำให้ไทยไม่พอใจ
ต่อมาครอว์เฟิร์ดได้ส่งผู้สำเร็จราชการอังกฤษประจำสิงคโปร์เข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีต่อไทย
ปรากฏว่าไทยเริ่มมีการค้าขายกับอังกฤษมากขึ้น
ถึงกับมีพ่อค้าอังกฤษเข้ามาตั้งร้านค้าในกรุงเทพฯ ชื่อ โรเบอร์ต ฮันเตอร์ ( Robert Hunter) ซึ่งเป็นพ่อค้าชาวตะวันตกคนแรกที่เข้ามาตั้งร้านค้าขึ้นภายในประเทศไทย
ต่อมานายโรเบอร์ต ฮันเตอร์ ได้รับบรรดาศักดิ์เป็นหลวงอาวุธวิเศษ คนไทยนิยมเรียกว่า
“นายหันแตร”
เริ่มสมัยรัชกาลที่ 3 อังกฤษทำสงครามกับพม่า
และได้ขอร้องให้ไทยยกกองทัพไปช่วยปราบพม่า แต่เกิดเหตุผิดใจกันไทยจึงยกทัพกลับหมด
ต่อ ลอร์ด แอมเฮิร์สต์ (Lord Amgerst) ผู้สำเร็จราชการอังกฤษประจำอินเดียได้
ส่งร้อยเอก เฮนรี เบอร์นี (Henry Berney) เป็นทูตเข้ามาเจรจาขอทำสนธิสัญญากับไทย
โดยมีจุดมุ่งหมาย ดังนี้
·
เพื่อขอให้ไทยส่งกองทัพไปช่วยอังกฤษรบพม่า
·
เพื่อต้องการตกลงเรื่องเมืองไทรบุรีและหัวเมืองมลายู
·
เพื่อชักชวนให้ไทยยอมทำสนธิสัญญาทางการค้ากับอังกฤษ
·
เพื่อสัมพันธไมตรีอันดีระหว่างไทยกับอังกฤษ
·
สนธิสัญญาฉบับนี้ได้ทำเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ.2369 เป็นสนธิสัญญาโดยสมบูรณ์ฉบับแรกในสมัยรัตนโกสินทร์
เป็นสนธิสัญญาทางพระราชไมตรี เรียกว่า “สนธิสัญญาเบอร์นี
มีสาระสำคัญ ดังนี้
ไทยกับอังกฤษจะมีไมตรีอันดีต่อกัน
ไม่คิดร้ายหรือรุกรานดินแดนซึ่งกันและกัน
เมื่อเกิดคดีความขึ้นภายในอาณาเขตประเทศไทย
ก็ให้ไทยตัดสินตามกฎหมายและขนบธรรมเนียมและประเพณีของไทย
ทั้งสองฝ่ายจะอำนวยความสะดวกในด้านการค้าซึ่งกันและกัน
และอนุญาตให้ฝ่ายตรงข้ามเช่าที่ดินเพื่อตั้งโรงสินค้า ร้านค้า หรือบ้านเรือนได้
อังกฤษยอมรับว่าดินแดนไทรบุรี
กลันตัน ตรังกานู เประ เป็นของไทย
ส่วนสนธิสัญญาฉบับที่ 2 เป็นสนธิสัญญาทางการค้า
มีสาระสำคัญ ดังนี้
ห้ามนำฝิ่นเข้ามาขายในไทย
และห้ามนำข้าวสาร ข้าวเปลือกออกนอกประเทศไทย
อาวุธและกระสุนดินดำที่อังกฤษนำมาต้องขายให้แก่รัฐแต่ผู้เดียว
ถ้ารัฐไม่ต้องการต้องนำออกไป
เรือสินค้าที่เข้ามาต้องเสียภาษีเบิกร่องหรือภาษีปากเรือ
อนุญาตให้พ่อค้าอังกฤษค้าขายโดยเสรี
ถ้าพ่อค้าหรือคนในบังคับอังกฤษ
พูดจากดูหมิ่นหรือไม่เคารพขุนนางไทย อาจถูกขับไล่ออกจากไทยได้ทันที
ผลของสนธิสัญญาทั้ง 2 ฉบับนี้ ทำให้ไทยกับอังกฤษมีความผูกมัดซึ่งกันและกัน
มีความเท่าเทียมกัน ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบกัน ต่อมาอังกฤษต้องการได้
สิทธิภาพนอกอาณาเขต เหนือดินแดนไทย ลอร์ด ปาเมอร์สตัน (Lord Palmerston)รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ จึงส่งเซอร์ เจมส์ บรุค (James
Brooke) เป็นทูตมาขอแก้ไขสนธิสัญญากับไทย พ.ศ.2393 โดยขอลดภาษีปากเรือ ขอตั้งสถานกงสุลในไทย ขอนำฝิ่นเข้ามาขาย
และขอนำข้าวออกไปขายนอกประเทศ แต่ขณะนั้นรัชกาลที่ 3 กำลังทรงพระประชวร
จึงไม่มีโอกาสได้เข้าเฝ้า
สหรัฐอเมริกา
สมัยรัชกาลที่ 2 พ่อค้าอเมริกาชื่อ กัปตันแฮน (Captain
Han) เดินทางเข้ามาค้าขายที่กรุงเทพฯ
เป็นชาวอเมริกันคนแรกที่เดินทางเข้ามายังประเทศไทย
และได้นำปืนคาบศิลามาถวายแด่รัชกาลที่ 2 จำนวน 500 กระบอก รัชกาลที่ 2 จึงพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เป็น
หลวงภักดีราช หรือหลวงภักดีราชกปิตัน และได้พระราชทานสิ่งของให้คุ้มค่ากับราคาปืนทั้งหมด
ทั้งยังโปรดเกล้าฯ ให้งดเว้นการเก็บภาษีจังกอบอีกด้วย
สมัยรัชกาลที่ 3 ประธานาธิบดีแอนดรูว์ แจคสัน (Andrew
Jackson) ได้ส่ง นายเอ็ดมันด์ โรเบอร์ต (Edmund Robert) คนไทยเรียกว่า “เอมินราบัด” เป็นทูตเดินทางเข้ามาขอทำสนธิสัญญาการค้ากับไทย
ซึ่งมีใจความทำนองเดียวกับที่ไทยทำกับอังกฤษ เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์
พ.ศ.2375 และ พ.ศ.2393 รัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้ส่ง
นายโจเซฟ บัลเลสเตียร์ ((Joseph Balestier) เข้ามาขอแก้สนธิสัญญาฉบับเก่า
แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น